การทำสมาธิ ผู้ปฏิบัติจิตนี้สงบไหม ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติ
อันปิตินี้เป็นปิติที่มีโลภะ อยู่ด้วยหรือไม่
ให้ผู้ปฏิบัติพึงสังเกตุตนเอง
|
ก่อนที่จะเจริญสมาธิ
ผู้เจริญสมาธิประจักษ์ระลึกรู้อยู่ว่า จิตขณะนั้น ต้องเจริญสมาธิที่จิตที่เป็นกุศล จิตขณะนั้นมีปฏิฆะอยู่หรือไม่
โยนิโสมนัสสิการด้วยสติเจตสิก เพื่อ
1. เนกขัมมะโลภะ โทสะ โมหะ เป็นอันดับแรก และก็เจริญสมาธิต่อไป
2. และระหว่างการเจริญสมาธิของผู้ปฏิบัตินั้นประกอบโลภะและหรือมีโมหะอยู่ด้วยหรือไม่ ถ้ามีก็ให้เนกขัมมะ โลภะ โทสะ โมหะ
3. เจริญมรณสติ พิจารณาความตาย
"เรามีความตายเป็นธรรมดา"
"เรามีความตายเป็นแน่แท้"
4. ระหว่างเจริญสมาธิ ให้ระลึกตัวอยู่เสมอว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา
มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เราบังคับบัญชาร่างกายนี้ไม่ได้ มันต้องเจ็บป่วย ตาย
องค์ฌาน ภาค 2
ท่านหลวงพ่อชา สุภัทโท
ท่านสอนลูกศิษย์ที่บวชที่วัดหนองป่าพง โดยสอนกับพระลูกศิษย์ที่บวชแล้วก็ยังคิดถึงแฟนคนรัก ท่านเลยบอกว่า
"ถ้าเห็นอุจจาระของคนรักแล้วยังรู้สึกรักเธออยู่ใหม"
เราก็โยนิโสมนัสสิการสิ่งที่ท่านสอนลูกศิษย์ของท่านเข้ามาหากับตัวเรา
ว่าสิ่งที่เราเห็นสวยงาม,น่ารัก,หล่อ นั้นมันไม่เที่ยง มันไม่สามารถคงทนอยู่ได้ อย่าไปตกหลุมราคะที่เราเผชิญอยู่ทุกวัน
สุดท้ายก็จะเป็นอนัตตา แล้วเรายังจะหลงอยู่กับมันไหม
เวลาดูรูปต่าง ๆ ในเวปนี้ แล้วเราต้องพิจารณาด้วยครับ อสุภกรรมฐานจะเห็นผลครับ ดูแล้วต้องพิจารณาด้วยครับ
สัญญาเกิดขึ้นในที่นี้ สัญญา (Perception) เป็นความจำได้หมายรู้อารมณ์
- จิตไม่มีกิเลสตัณหา สัญญาจะบริสุทธิ์ คือ รับรู้อารมณ์ตามความเป็นจริง(เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ,
ไม่ใช่สัตว์, ไม่ใช่บุคล, ไม่ใช่ตัวตนเขาเรา)
- จิตมีกิเลสตัณหา สัญญาจะปรุงแต่งนาม รูปที่เกิดดับทุกขณะให้เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ในขั้นนี้
สัญญามีชื่อว่า ปปัญจสัญญา หมายถึง สัญญาที่คิดปรุงแต่งอารมณ์ให้พิสดาร ด้วยแรงผลักดันของตัณหา มานะ
และทิฏฐิ ปุถุชนมีสัญญาชนิดนี้จึงมองสิ่งต่างๆ ไม่ตรงตามความเป็นจริงเกิด สัญญาวิปลาส คือ การรับรู้ผิดจากความเป็นจริง ๔ ประการ คือ
๑. หมายรู้สิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง
๒. หมายรู้สิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข
๓. หมายรู้สิ่งมิใช่อัตตาว่าอัตตา
๔. หมายรู้สิ่งที่ไม่งามว่างาม
วิตกเจตสิกคือการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ มีลักษณะพิเศษคือ
๑. มีการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์เป็นลักษณะ
๒. มีการกระทบอารมณ์เป็นกิจ
๓. มีการนำจิตมาเป็นเครื่องปรากฎ
๔. มีวิญญาณขันธ์ เวทนาขันธ์และสัญญาขันธ์เป็นเหตุใกล้
มีความสำคัญคือทำหน้าที่ไตร่ตรองอารมณ์แล้วให้นัยแก่ปัญญา
เพราะถ้าไม่มีวิตกเจตสิก ปัญญาจะไม่สามารถตัดสินอารมณ์ได้ว่าไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา วิตกเจตสิกมีเหตุเกิดจากปปัญจสัญญา
ปปัญจสัญญาคือการกำหนดหมายด้วยอำนาจตัณหา มานะ และทิฐิของตน
ถ้าทราบว่านั่นเป็นอกุศลธรรมก็จะขัดเกลา โดยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
แต่ถ้าไม่ทราบว่านั่นเป็นอกุศลธรรม อกุศลธรรมก็ไม่ได้ลดลงได้มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น
กิเลสก็จะนอนเนื่องอยู่ รออกุศลธรรมปะทุเกิดขึ้นมา
การเจริญวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐานคือ การอบรมจิตให้เกิดปัญญา ด้วยการ
ใช้สติกำหนดรู้ รูปนาม จนเกิดวิปัสสนาญาณเห็นรูปนามตามความเป็นจริง
เกิดความเบื่อหน่าย คลายความกำหนัด ดับกิเลสตัณหา ละอุปาทาน รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔
การเจริญวิปัสสนาภาวนาในเทวธาวิตักกสูตร หมายถึงการละอกุศลวิตก ๔ วิธี คือ
(๑) การมีสติสัมปชัญญะ เมื่ออกุศลวิตกเกิดขึ้น ต้องมีโยนิโสมนสิการ พิจารณาเห็นว่าอกุศล
วิตกนี้มีโทษ เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเอง ผู้อื่นบ้าง ทั้งสองฝ่ายบ้าง ไม่เป็นไปเพื่อนิพพานเป็นต้น
(๒) การเจริญกุศลวิตก คือการพิจารณาอานิสงค์ของการออกจากกาม ความไม่พยาบาท และการ
ไม่เบียดเบียน เป็นการละอกุศลวิตกแบบตทังคปหาน
(๓) การเจริญสมถภาวนาเพื่อให้เกิกองค์ฌาน คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา แล้วใช้องค์ฌาน
ข่มอกุศลวิตกเป็นวิกขัมภนปหาน และ
(๔) การเจริญวิปัสสนาเพื่อให้เกิดมัคคญาณ แล้วใช้มัคคญาณละอกุศลวิตกเป็นสมุจเฉทปหาน
มนสิการเจตสิก เป็นธรรมชาติที่น้อมจิตใจไปสู่อารมณ์ เช่น ขณะที่ดูทีวี ดูหนังดูละคร มนสิการเจตสิก ก็จะน้อมจิตให้จดจ่อ
กับภาพกับเสียงบนจอทีวีอยู่เสมอตลอดเวลา ทำให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน นอกจากจะทำให้จิตใจน้อม ไปสู่การดูการฟังแล้ว
ยังทำให้จิตใจน้อมไปสู่ การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การสัมผัสถูกต้อง และการคิดนึกเรื่องราวต่าง ๆ ด้วย
๑) วิตกเจตสิก เป็นธรรมชาติที่ยกจิตขึ้นสู่ความคิดนึก หรือตรึกไปในเรื่องราวต่าง ๆ เป็นเรื่องราวที่ผ่านมาแล้วบ้าง เรื่องราวที่ยังไม่เกิดขึ้นบ้าง
เช่น ไปดูภาพยนตร์ เรื่องที่สนุกสนานแล้ว นำมาเล่าสู่กันฟัง ผู้เล่าก็ยกจิตเล่าไปตาม เรื่องราว ผู้ฟังก็ยกจิต ฟังตามเรื่องราวที่เล่า
ทำให้เกิดความสนุก สนานไปด้วยไม่ง่วงเหงาหาวนอน
อุปมาเหมือนกับบุรุษไปรษณีย์ ที่นำจดหมายเรื่องโน้นเรื่องนี้ มาส่งทำให้จิต ได้นึกคิดต่อ วิตกเจตสิก นี้เมื่อยกจิต ขึ้นสู่เรื่องราวบ่อย ๆ
จะไม่เกิดอาการง่วง คนที่นอนไม่หลับก็คือคนที่หยุดคิดไม่ได้ จิตจึงไม่ง่วงไม่หลับ ถ้าจะให้หลับ ก็คือเลิกคิด หยุดคิดให้เป็นแล้ว
จะหลับง่ายตามตั้งใจ
๒) วิจารเจตสิก เป็นธรรมชาติที่ประคับประคองจิต ไว้ในเรื่องราวหรืออารมณ์ต่างๆ ตามที่ต้องการมิให้ไปที่อื่น
การทำงานของวิตกเจตสิก และวิจารเจตสิกนี้ ใกล้ชิดกันมาก เหมือนกับนกที่บินถลาอยู่กลางอากาศ เมื่อกระพือปีก
แล้วจะร่อนถลาไป วิตกเจตสิกเหมือนกับ การกระพือปีกของนก วิจารเจตสิกเหมือนกับการร่อนถลาไปของนก
ซึ่งจะเห็นว่าการร่อนถลาไปของนก คือวิจารเจตสิกนั้น มีความสุขุมกว่าการกระพือปีก คือวิตกเจตสิก ทั้งสองนี้
จะทำงานร่วมกันเสมอสำหรับบุคคลที่ยังไม่ถึงฌาน ถ้าเป็นจิตของผู้ถึงฌานที่ ๑ และฌานที่ ๒ แล้ว เจตสิกทั้งสองนี้
จะแยกออกจากกัน นอกจากนี้ วิจารเจตสิก ยังเป็นปรปักษธรรมกับวิจิกิจฉาเจตสิกที่อยู่ ในนิวรณธรรม
ยกตัวอย่างเรื่องการกำหนดลมหายใจนะครับ
วิตก - ยกลมหายใจขึ้นมาเป็นเครื่องรู้ ไม่แส่ส่ายในเรื่องอื่น
วิจาร - พิจารณาให้เห็นชัดในลมหายใจ หายใจสั้นก็รู้ หายใจยาวก็รู้
จิตอยู่กับลมหายใจได้ชัด มีสติอยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน
วิตกเจตสิกคือการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ กล่าวอย่างธรรมดาสามัญ ก็คือการคิด การนึกถึงอารมณ์ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
อารมฺมเณ จิตฺตสฺส อภินิโรปนกฺขโณ
มีการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ เป็นลักษณะ
อาหนปริยาหนรโส
มีการกระทำให้จิตกระทบอารมณ์บ่อยๆ เป็นกิจ
อารมฺมเณ จิตฺตสฺส อานยนปจฺจุปฏฺฐาโน
มีจิตที่ทรงอยู่ในอารมณ์ เป็นผล
เสสสขนฺธตฺตยปทฏฺฐาโน
มีนามขันธ์ทั้ง ๓ ที่เหลือ (เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์) เป็นเหตุใกล้
วิตกเจตสิก คือการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์นี้ มีความหมายใกล้เคียงกับเจตนาเจตสิก ความตั้งใจในอารมณ์ และ
มนสิการเจตสิก ความใส่ใจในอารมณ์ เพื่อให้เกิดความแตกต่างกัน จึงมีอุปมาด้วยเรือแข่ง
แหล่งที่มาทางธรรม :
วิทยานิพนธ์ พระมหาสมศักดิ์ สุขุมาโล(ปัสคำ)
http://mediacenter.mcu.ac.th/budphilosophy/dt1412.htm
ท่าน อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์
http://www.psychiatry.or.th/JOURNAL/v4337f.html
https://dhrammada.wordpress.com/category/
|
No comments:
Post a Comment